วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชุดประจำชาติของจีน

ชุดประจำชาติของจีน
กี่เพ้าหรือฉีเผา ตามสำเนียงจีนกลางนี้ มีต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ซึ่งปกครองแบบ 8 แว่นแคว้นหรือปาฉี โดยผู้ปกครองชาวแมนจู คำว่า ‘ฉี’ ในปาฉีและคำว่า ‘เผา’ นั้นหมายถึงเสื้อผ้าชุดยาวตลอดลำตัว จึงเป็นที่มาของ ‘ฉีเผา’นั่นเอง โดยได้รับความนิยมสูงสุดในรัชสมัย ‘คังซี’ และ ‘หยงเจิ้ง’ (ค.ศ.1662-1736) ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง ซึ่งต่างจากสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ยุคก่อนหน้านั้น ที่แฟชั่นของหญิงชาวฮั่นซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของแผ่นดินจีน มักแยกเสื้อกับกระโปรงออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ในยุคกลางราชวงศ์ชิง ชุดของสาวแมนจูกับสาวฮั่น ต่างก็เริ่มเลียนแบบซึ่งกันและกัน
หลังปี ค.ศ.1840 วัฒนธรรมตะวันตกได้ค่อยๆ จู่โจมเข้าสู่แดนมังกรพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม เมืองชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมืองสำคัญอย่าง ‘เซี่ยงไฮ้’ ซึ่งมีชาวตะวันตกเข้าอยู่อาศัยปะปนกับชาวจีน จึงได้รับอิทธิพลตะวันตกก่อนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นการแต่งกายแบบฝรั่งที่ค่อยๆ แทรกซึม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
รูปแบบของชุดกี่เพ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน จึงมีวิวัฒนาการจากชุดสตรีชาวแมนจู ที่ถูกสตรีชาวฮั่นนำไปประยุกต์ดัดแปลง ผสมผสานการดูดซับเอาวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่เน้นส่วนโค้งเว้าเข้ารูปแบบตะวันตก โดยจะมีลักษณะของแขน ปก ชาย การผ่าข้าง และความสั้นยาวเปลี่ยนไปตามความนิยมในแต่ละยุคสมัย



ตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 จนถึงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม(ค.ศ.1966-1976) ชุดกี่เพ้าก็ถูกตีตราว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมคร่ำครึทั้ง 4 (แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตแบบเก่า) ที่สมควรถูกขจัดให้สิ้นแผ่นดินจีน เมื่อผ่านพ้นยุคแห่งความขัดแย้งภายใน เข้าสู่ยุคเปิดประเทศ สังคมจีนเริ่มเปิดกว้างรับแนวคิดใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เคยถูกบังคับให้ใช้ได้ไม่เกิน 3 สี คือ ดำ เทา และน้ำเงิน ก็ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสระเสรีทางสีสัน บรรดาสาวจีนจึงเริ่มสลัดชุดฟอร์มสมัยปฏิวัติ แล้วหยิบกี่เพ้าที่ถูกแช่เย็นไว้ราว 30 ปี มาปัดฝุ่นและแปลงโฉม แต่เนื่องจากปิดประเทศไปนาน ทำให้ชุดกี่เพ้าในช่วงทศวรรษที่ 80 ดูค่อนข้างจะเชยไปนิด
กระทั่งปลายปีค.ศ.2000 ‘ฮวายั่งเหนียนหัว’ (In the mood for love) ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของผู้กำกับ หว่องการ์ไว (หวังเจียเว่ย) ออกฉายทั่วประเทศ ปลุกกระแสแฟชั่นชุดกี่เพ้าให้ตื่นขึ้นในแดนมังกรอีกครั้ง โดยเรื่องนี้ได้ออกแบบให้นางเอก จางมั่นอี้ว์ สวมชุดกี่เพ้าสุดคลาสสิกให้ผู้ชมได้ยลโฉมอย่างจุใจถึง 23 ชุด
ช่วง 10 กว่าปีมานี้ ชุดกี่เพ้าถูกออกแบบให้ทันสมัย มีรูปลักษณ์ใหม่ๆ ให้เห็นตามเวทีแคทวอล์กอยู่เสมอ ตลอดจนจัดเป็นเครื่องแต่งกายพิธีการของชาติจีนที่ปรากฏในเวทีระดับโลก
ศาสตร์แห่งศิลป์ของชุดกี่เพ้ายังมีความต่างกันระหว่างสไตล์นครเซี่ยงไฮ้กับกรุงปักกิ่ง โดยกี่เพ้าของเซี่ยงไฮ้จะได้รับอิทธิพลเสื้อผ้าแบบตะวันตกมากกว่า มีรูปแบบที่หลากหลาย ดูทันสมัยและคล่องแคล่ว ส่วนสไตล์ปักกิ่งนั้น จะดูเป็นทางการ และสุภาพเรียบร้อย
ทุกวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่า ช่างตัดเย็บชุดกี่เพ้าฝีมือเยี่ยมนั้นอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่มีหลายเสียงลงความเห็นว่า หุ่นเนื้อนมไข่แบบสาวฝรั่ง ใส่ชุดกี่เพ้ายังไงก็ไม่มีเสน่ห์เท่าสาวจีนและสาวเอเชีย!
นับวันการแต่งกายที่เน้นสรีระแบบตะวันตกก็เข้ามามีอิทธิพลต่อเสื้อผ้าชาวจีนมากขึ้น ค.ศ.1933-1934 แฟชั่นผ่าข้างชุดกี่เพ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงระดับน่อง และรัดรูปเข้าเอวมากขึ้น
# ในปีถัดมา ค.ศ.1935 สาวจีนนิยมกี่เพ้าที่ยาวคลุมเท้ามิดชิด ซึ่งถูกเรียกว่า ‘กี่เพ้ารุ่นกวาดพื้น (เส่าตี้ฉีเผา)’ แต่กลับผ่าข้างต่ำลงมาอยู่ใต้หัวเข่า
# วิวัฒนาการของชุดกี่เพ้าฉีกแนวโบราณอีกครั้งในปีค.ศ.1937 จากเดิมที่เป็นแบบกระดุมเปิดอกข้างขาวอย่างเดียว ก็เริ่มมีแบบกระดุมเปิดอกทั้งซ้ายขวา และส่วนแขนสั้นขึ้น คือจะยาวจากช่วงไหล่ลงมาเพียง 2 นิ้ว
# ค.ศ.1938 ชุดกี่เพ้าในเซี่ยงไฮ้เริ่มนิยมคอปกที่สูงขึ้น ชายกระโปรงยาวคลุมถึงพื้น เน้นรัดรูป และแขนกุด ซึ่งช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับชุดกี่เพ้า
ชุดกี่เพ้ายุคหลังปฏิวัติวัฒนธรรมมักจะตัดเย็บออกมาคล้ายรูปขวด โดยส่วนเอวจะคล้ายคอขวด สะโพกค่อนข้างหลวม ถือเป็นดีไซน์ ‘โบราณ’ ผสม ‘โมเดิร์น’ และมักใช้ผ้าที่มีลวดลายมาตัดเย็บ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น